Feb 24, 2009

10เดซิเบล เผยตัว

ชายผู้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วง
เรื่อง: วิภว์ บูรพาเดชะ
ตีพิมพ์ในนิตยสาร Happening! ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2552

มองจากภายนอก เป็นการยากอย่างยิ่งที่จะระบุอาชีพของหนุ่มคนนี้ ด้วยท่วงทีที่คล้ายศิลปินแต่บางขณะก็ดูคล้ายนักธุรกิจ และด้วยท่าทางที่เปิดเผยเป็นกันเองแต่บางขณะก็ดูลึกลับซับซ้อน

เขาคือนักเขียนที่ใช้นามปากกาว่า 10 เดซิเบล ...เขาอนุญาตให้เราแนะนำชื่อได้เท่านี้ ชื่อจริง นามสกุลจริงขอสงวนเอาไว้ก่อน แถมยังไม่ยอมให้เราถ่ายภาพแบบเห็นชัดๆ อีกต่างหาก

แต่ถ้าให้แนะนำมากกว่านี้สักหน่อย ต้องบอกว่าเขาเป็นนักเขียนเรื่องสั้นที่ไฟแรงที่สุดของยุคนี้ เพราะในเวลาปีกว่าๆ เขาออกหนังสือรวมเรื่องสั้นมาแล้ว 4 เล่ม คือ คณิตศาสตร์ รส., เด็กหญิงมุกประดับ, 18+, รักหมายเลข 0 และเขายังเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำสำนักพิมพ์เล็กๆ ชื่อ สำนักพิมพ์หนึ่ง ร่วมกับ กิตติพล สรัคคานนท์ ซึ่งมีหนังสือรวมเรื่องสั้นจากนักเขียนไทยร่วมสมัยชื่อปกว่า เสียงเล่าเรื่องจากเครื่องฉาย ออกมาให้เราอ่านกันด้วย

“คือเมื่อก่อนบ้านผมไม่ค่อยมีตังค์ ผมเลยมาคิดว่า ทำยังไงให้เรามี ก็คือต้องเรียนหนังสือให้เก่ง การเรียนหนังสือให้เก่งอันดับแรกก็ต้องเอาชนะคณิตศาสตร์ให้ได้ก่อน ถ้าอ่านตำราคณิตศาสตร์แล้วเข้าใจได้ อย่างอื่นผมจะชนะได้หมด” เขาเล่าที่มาของการเป็นคนรักการอ่าน ซึ่งฟังดูแปลกๆ สักหน่อย แต่เขาก็เอาจริงด้านคณิตศาสตร์ถึงขนาดที่สามารถเป็นติวเตอร์สอนวิชานี้ได้เลยทีเดียว
พอเรียนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์ เขาเลือกทำอาชีพติวเตอร์ต่อเพราะรายได้ที่ดีมากๆ และช่วงนี้เองที่เขาเริ่มหันมาสนใจวรรณกรรมอย่างจริงจัง

“ที่อ่านแรกๆ รู้สึกจะเป็น เหยี่ยวเดือนเก้า ของโกวเล้ง ตอนนั้นอกหัก พออ่านไปสองเล่มแล้วโห น้ำตาไหลเลย เฮ้ย มันขนาดนั้นเลยเหรอวะ แล้วมีรุ่นพี่แนะนำให้อ่าน ฤทธิ์มีดสั้น กับ จอมดาบหิมะแดง แล้วก็มาอ่าน เดียวดายใต้เงาจันทร์ ผมก็เริ่มๆ อ่านวรรณกรรมอื่นๆ มาเรื่อย” นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขากลายเป็นนักอ่านตัวยง และหันมาซื้อหนังสือไว้จนบ้านแทบจะกลายเป็นห้องสมุด


ชีวิตติวเตอร์ของเขาทำรายได้ไม่น้อย แต่ก็ทำให้เขารู้สึกไม่มั่นคงเท่าไหร่ ชายหนุ่มจึงหันไปทำธุรกิจอย่างอื่นต่ออีกหลายต่อหลายอย่าง แล้วชีวิตก็มักจะเป็นอย่างที่มันเป็น คือไม่มีใครคาดเดาได้ ในที่สุดธุรกิจชิ้นหลังสุดของเขาก็ถูกโกงเพราะความไว้ใจคนจนเกินไป เป็นผลให้เขาต้องรับหนี้มหาศาล และเป็นผลให้เขาตัดสินใจหนี!


“ตอนนั้นผมต้องอยู่ไม่เป็นที่ ผมก็เลยต้องการงานที่อยู่ที่ไหนก็ได้ นั่งอยู่ในห้องส้วม อยู่ในมุมมืด หรืออยู่กลางบึงหรือบนเรือในทะเลก็ทำได้ สามารถเลี้ยงตัวได้ ก็คิดง่ายๆ อย่างนี้ ผมก็เลยตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าเขียนหนังสือนี่ล่ะ มันน่าจะเป็นคำตอบ” เขาเล่าแล้วหัวเราะขำ

ชายหนุ่มเริ่มเขียนงานแบบรหัสคดีโดยได้แรงบันดาลใจจากงานของ ฮาลาล โคเบน เพราะคิดว่าตัวเองก็น่าจะเขียนแบบนี้ได้ พอเขียนได้หนึ่งเล่มก็เอาไปเสนอสำนักพิมพ์ ปรากฏว่ายังไม่ได้ตีพิมพ์ แต่ได้รับชวนไปเขียนในนิตยสาร Free Form แทน เป็นการเริ่มเผยแพร่ตัวหนังสือของตัวเองออกสู่สาธารณะ จนเมื่อเขาได้รู้จักกับ อธิชา มัญชุนากร (กาบูล็อง) ที่เขียนในเล่มเดียวกัน เลยมีโอกาสได้ตีพิมพ์งานเรื่องสั้นชุด คณิตศาสตร์ รส.

“วันหนึ่งผมก็ไปอ่านเรื่องที่อาจารย์คนหนึ่งเขียนเกี่ยวกับเรื่องคณิตศาสตร์ เอาทฤษฏีของ จอห์น แนช มาเขียนสรุป ผมก็คิดว่าผมเขียนได้วะ ผมบอกว่าผมจะเขียนเป็นเรื่องสั้นเลย จะอธิบายโดยไม่ใช้ภาษาวิชาการ จะมาใช้เรื่องสั้นในการอธิบาย ผมคงโชคดีเพราะเป็นตอนที่มิว (อธิชา) กำลังเบลอๆ อยู่มั้ง” เขาอำตัวเองแล้วหัวเราะ “เป็นช่วงที่มิวเขาเพิ่งเริ่มทำสำนักพิมพ์กำมะหยี่แล้วกำลังจะแต่งงานด้วย เขาเลยบอกว่าทำๆ ไปเลย” เขาหัวเราะขำ “ผมเขียนหนึ่งเดือนเสร็จ ก็ทำขาย แล้วเป็นหนังสือที่ไม่ขาดทุนนะ คงเป็นเพราะมีคนสนใจไอเดียเรื่องเอาคณิตศาสตร์มาเขียนเรื่องสั้น แล้วอีกส่วนอาจจะซื้อเพราะเข้าใจผิด คิดว่าเป็นหนังสือเล่มใหม่ของ ปราบดา หยุ่น ที่มาออกแบบปกให้” เขาหัวเราะเสียงดัง


10 เดซิเบลบอกว่า ที่เขามีหนังสือได้ตีพิมพ์ออกมาหลายเล่มในเวลาไม่นาน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขามีโชคมากกว่า ไม่ใช่ว่าเก่งกาจอะไรหรอก แต่ถึงจะมีหนังสือออกมาหลายเล่มและขายได้ไม่ขาดทุนสักเล่ม เขาก็พบว่าความคิดที่จะหวังรวยจากการเขียนตั้งแต่แรกนั้นน่าจะเป็นไปได้ยาก

“ตอนแรกๆ ผมคิดไปไกลเลย เล่มหนึ่งขายสองร้อย ได้กำไรเล่มละยี่สิบกว่า พิมพ์สามพัน ได้เงินหกหมื่น คือตอนนั้นไม่มีความรู้เรื่องหนังสือเลย คิดอย่างเดียวว่าได้เงิน เห็นเรื่อง ผู้ชายเลวกว่าหมาฯ เขาขายดี” เขาหัวเราะอีก “เราก็เผื่อฟลุ้กไง คือไม่รู้หรอกว่าตลาดหนังสือจริงๆ มันโหดขนาดนี้” ชายหนุ่มหัวเราะปลงๆ แต่ก็พูดต่อถึงสิ่งที่เขาได้จากการเขียนหนังสือด้วยความภูมิใจ “ผมคิดว่าการเขียนหนังสือเป็นการบำบัดตัวเอง คือถ้าเราฟุ้งซ่านก็มาเขียนหนังสือ เหมือนคนทั่วไปถ้าฟุ้งซ่านก็มาเขียนสมุดบันทึก อย่างน้อยก็คุยกับตัวเอง คุยกับตัวเองนี่ดีกว่าคุยกับคนอื่นนะ ถามเองตอบเองก็จริง แต่ก็เป็นการทบทวนตัวเองด้วย ก็เอาความฟุ้งซ่านมาเป็นงาน”

กลับมาที่ประเด็นเรื่องความไฟแรงของเขาอีกที นอกจากจะเพิ่งเปิดร้านหนังสือของตัวเองที่อำเภอปาย แม่ฮ่องสอน ไปแล้ว เร็วๆ นี้เขายังจะมีรวมเรื่องสั้นออกมาอีก 2 เล่ม แล้วสำนักพิมพ์หนึ่งก็กำลังจะเปิดตัวหนังสือเรื่องสั้นอีก 3 เล่มเล็กๆ พร้อมกัน เห็นออกงานถี่อย่างนี้ เขาก็ยังยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เขียนหนังสือทุกวัน



“คือเวลาผมเขียนผมจะเขียนทีละเล่มให้มันจบเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือทุกเล่มผมเขียนประมาณ 7 วันหมด ยังไม่มีงานชิ้นไหนที่ใช้เวลาเขียนยาวนาน เพียงแต่การเขียนหนังสือสำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าเราใช้ชีวิตอยู่ปีหนึ่งนี่ เพื่อที่จะเอามาเขียนหนังสือได้ยี่สิบหน้าเอสี่นะ บางทีประสบการณ์การรับรู้ที่ไปไหนมาไหนทั้งปี มันอาจได้กลับมาแค่ยี่สิบเอสี่ที่ผมนั่งเขียนอยู่ไม่กี่วันนี่เองก็ได้” ชายหนุ่มกล่าวสบายๆ

ห่างหายจากการทำธุรกิจไปนาน กลายเป็นนักเขียนที่ใช้ชีวิตไปๆ มาๆ อยู่ต่างจังหวัดหลายปี พอกลับมาในโลกธุรกิจอีกทีด้วยการเป็นเจ้าของร้านหนังสือและสำนักพิมพ์ วิธีคิดของชายหนุ่มคนนี้ในการมองโลกก็เปลี่ยนไปไม่น้อย

“ตอนแรกที่ทำหนังสือออกมา คิดว่าเท่าทุนก็โอเค แต่ตอนนี้หนักกว่านั้น ผมคุยกับเพื่อนที่ทำสำนักพิมพ์อยู่ด้วยกันว่า พิมพ์เล่มไหนผมถือว่าเล่มนั้นเจ๊งแล้ว” เขาหัวเราะ “จริงๆ นะ คือทำแล้วไม่ต้องไปคิดแล้ว เราจะไม่วางแผนว่าจะต้องไปโปรโมตที่ตรงนั้นตรงนี้ คือทำไป ถ้างานมันดีจริง วันหนึ่งมันก็มาเอง ถ้าไม่มาก็ช่างมัน คือสิ้นสุดตอนที่เราทำเสร็จ เรามีความสุข เรื่องหนี้สินอะไรพวกนี้ก็ต้องไปจัดการกัน อันนี้คือกรรม” เขาหัวเราะสนุก




ชีวิตพลิกผัน ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งกลายเป็นนักเขียน และเปลี่ยนความคิดที่มีต่อโลกไปมากมาย
อีกสิ่งหนึ่งที่เราบอกเกี่ยวกับตัวเขาได้ ก็คือวันนี้วิถีชีวิตของเขาเปลี่ยนไปจากสมัยที่เคยร่ำรวยมีเงินล้นกระเป๋าและทำงานโดยไม่มีวันหยุดแล้ว วันนี้ชีวิตของเขานิ่งขึ้น และมีเวลาคิด มองดู และฟังอะไรต่ออะไรมากขึ้น


ชายหนุ่มคนนี้มีเวลาได้ยินอะไรต่ออะไรที่เป็นธรรมดาและเป็นธรรมชาติของชีวิตมากขึ้น ขนาดที่ว่า นามปากกา ‘10 เดซิเบล’ ก็มีที่มาจากระดับความดังของเสียงใบไม้ร่วงนั่นไง

หลับฝันดี


ผู้แต่ง: 10เดซิเบล
จัดพิมพ์ครั้งที่: 1 (กุมภาพันธ์ 2552)
จำนวนหน้า: 168 หน้า
ราคา: 135 บาท


เรื่องราวความฝันอัน ‘ดิบ-ดี’
ปราศจากน้ำตาล ไม่ใส่สี ไม่ปรุงกลิ่น
คลุกเคล้าและบอกเล่าด้วยความสุข
ด้วยปรารถนาจะให้ผู้อ่าน
ฝันดีด้วยความรู้สึกเดียวกัน



บางถ้อยคำจากผู้เขียน

“หลับฝันดี” รวมเรื่องสั้นชุดนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้ผู้อ่านฉงนใจว่า ทำไมต้องตั้งชื่อเรื่องแบบนี้ ไม่มีการซับซ้อนถึงที่มาของชื่อเรื่อง เพราะว่าผู้เขียนตั้งใจให้ผู้อ่านมีความสุขในขณะที่ได้อ่านงานชุดนี้ งานที่ควรอ่านก่อนนอนเพื่อที่จะมีหลับฝันดี นั่นคือประเด็นหลัก ส่วนประเด็นรองคือการที่ผู้เขียนให้เกียรติสถานที่ๆให้อารมณ์เขียนงานที่ดีแก่ผู้เขียน ผู้เขียนได้รับน้ำใจชั้นดีจากคุณปานเจ้าของเกสเฮาส์ที่ไม่คิดค่าบริการที่พัก แถมทำอาหารให้ทานอยู่บ่อยๆ อยู่เป็นเพื่อนดื่มเป็นนิจราวกับเป็นหน้าที่ และเรื่องบางเรื่องที่อยู่ในเรื่องสั้นชุดนี้ก็เป็นเรื่องที่ผู้เขียนได้มาจากการที่ผู้เขียนได้ร่วมวงดื่มกับคนแปลกหน้าผู้หนึ่งที่มากซึ่งไมตรี(เรื่องบริกรจากไอโอวา...ผู้เขียนนำมาปรับปรุงใหม่ตามแนวทางของผู้เขียน) เช่นนั้นผู้เขียนจึงขอตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ให้ตรงกับสถานที่พักที่ผู้เขียนได้อยู่อาศัย นั่นคือชื่อเกสต์เฮาส์ในเมืองปายที่ชื่อ “หลับฝันดี”



จากใจกำมะหยี่ :

กำมะหยี่ชวนฝัน

โลกแห่งความจริงมีปัจจัยหลายอย่างกำหนดไม่ให้เรา “ได้ เป็น และมี”อย่างใจปรารถนา ทำให้หลายคนอยากหลบลี้เข้าไปในโลกแห่งความฝันถึง แม้ฝันจะไม่ได้ทำให้เราสมใจไปทุกอย่าง บางค่ำคืน เราอาจเป็นได้แค่คนโชคร้ายที่ถูกมนุษย์ต่างดาวที่พกอาวุธรูปร่างคล้ายกล้วยจับไปรีดความลับ ตกอับอยู่ในภัตตาคารที่ไม่มีแม้แต่ไส้กรอกให้กิน เดินทางข้ามกาลเวลาสู่การตัดสินคดีแห่งอนาคตเมื่อผองสัตว์กลายเป็นมนุษย์ ขึ้นสังเวียนมวยเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของนักต่อสู้ และปฏิเสธความรักที่ลอยมาตรงหน้าเพราะความรู้สึกผิดที่กัดกินใจ

แต่ใครบอกล่ะว่าฝันที่ “ดี” ต้อง “สุข” และ “สมใจ” เพียงอย่างเดียว

หลับฝันดี เป็นผลงานรวมเรื่องสั้นใหม่ล่าสุดของ 10เดซิเบลที่หลายคนอาจคุ้นเคยกับฝีไม้ลายมือมาแล้วจากงานเขียนเรื่องสั้นขนาดยาวหลายเรื่องก่อนหน้านี้ ด้วยมุมมอง ลีลา และน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากเรื่องราวที่ผ่านมา เราเชื่อว่าตัวละครสารพัดสีสันที่โลดเต้นอยู่ในหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณรู้จักเขาในแง่มุมใหม่ผ่านตัวอักษรที่ร้อยเรียงขึ้นด้วยความหวัง การต่อสู้ ความดีงาม และรอยยิ้ม ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิตที่ดี

ไม่ว่ายามตื่นหรือยามหลับ


>> คลิกไปอ่านตัวอย่าง