Mar 6, 2009

อยู่ข้าง "ไข่" เสมอมาและเสมอไป (Always on the side of the egg)


โดย ฮารูกิ มูราคามิ

ผมมาที่กรุงเยรูซาเล็มวันนี้ในฐานะนักประพันธ์ หรือจะเรียกว่านักปั้นน้ำเป็นตัวมืออาชีพก็ว่าได้

จริงอยู่ที่ว่านักประพันธ์ไม่ได้เป็นคนเพียงกลุ่มเดียวที่แต่งเรื่องต่างๆ นักการเมืองก็ทำอย่างนั้นเช่นกันอย่างที่เรารู้ๆ กันนั่นแหละครับ นักการทูตและนายทหารต่างก็สร้างเรื่องในบางโอกาสเหมือนๆ กับเซลล์แมนขายรถยนต์ พ่อค้าแม่ค้าในตลาดและผู้รับเหมาก่อสร้าง แต่การโกหกของนักประพันธ์แตกต่างจากการโกหกของคนกลุ่มอื่นๆ เพราะไม่มีใครค่อนแคะว่านักประพันธ์ทำผิดศีลธรรมที่สร้างเรื่องเหล่านั้น อันที่จริงแล้ว ยิ่งเขาแต่งเรื่องโกหกได้เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ไร้สาระและแนบเนียนเพียงใด เขาก็ยิ่งได้รับคำชมจากประชาชนและนักวิจารณ์มากขึ้นเท่านั้น แล้วทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ

คำตอบของผมก็คือ ไอ้สิ่งที่เราเรียกว่าการโกหกอย่างมีทักษะ –หรือจะเรียกว่าการแต่งนวนิยายที่สมจริงนั้น- นักประพันธ์ต้องสามารถดึงความจริงมาจำลองในสถานการณ์ใหม่และส่องแสงไป ณ จุดนั้น ในหลายๆ กรณี มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดึงความจริงออกมาและโยงไปยังต้นเรื่องเดิมได้อย่างถูกต้อง นั่นคือสาเหตุที่เราพยายามดึงบางส่วนโดยอำพรางความจริงที่ซ่อนอยู่ แปรเรื่องจริงไปยังสถานการณ์สมมุติ และแทนที่ด้วยรูปแบบในจินตนาการ แต่จะทำเช่นนั้นได้ เราต้องรู้กระจ่างในความจริงนั้นซะก่อน และนี่เป็นคุณสมบัติที่สำคัญในการสร้างเรื่องโกหกชั้นดี

แต่วันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะแต่งเรื่องนะครับ ผมพยายามจะซื่อสัตย์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีไม่กี่วันในหนึ่งปีที่ผมไม่ต้องเล่าเรื่องโกหก และวันนี้ก็เป็นหนึ่งในวันเหล่านั้น

งั้นก็ให้ผมเล่าความจริงเถอะครับ คนจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่แนะนำไม่ให้ผมมารับรางวัลเยรูซาเล็ม บางคนถึงกับเตือนผมว่าอาจมีคนจุดชนวนให้มีการต่อต้านหนังสือของผมถ้าผมมาที่นี่

แน่นอนว่าเหตุของเรื่องนี้ก็คือสงครามดุเดือดที่ทวีความรุนแรงในกาซ่า องค์การสหประชาชาติรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตกว่าพันคนที่ฉนวนกาซ่า คนจำนวนมากที่เสียชีวิตเป็นคนที่ไร้อาวุธ –เด็กและคนแก่

ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ผมได้รับแจ้งเกี่ยวกับรางวัลนี้ ผมถามตัวเองว่าการเดินทางมาอิสราเอลในช่วงเวลาเช่นนี้และการมารับรางวัลด้านวรรณกรรมเป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือไม่ ว่ามันจะก่อให้เกิดภาพลักษณ์ว่าผมสนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่ ว่าผมยอมรับนโยบายของประเทศที่ใช้กำลังอันเหลือล้นทางการทหาร และนี่เป็นภาพที่ผมไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ผมไม่เห็นด้วยกับการทำสงคราม ผมไม่สนับสนุนชาติใดๆ และก็แน่นอนอีกเช่นกันว่าผมไม่ต้องการพบว่ามีการต่อต้านหนังสือของผม

อย่างไรก็ดีหลังจากที่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจมาที่นี่ เหตุผลหนึ่งของการตัดสินใจนี้ก็เพราะมีคนมากเหลือเกินแนะนำไม่ให้ผมมา บางทีอาจเป็นเพราะผมซึ่งก็เหมือนกับนักประพันธ์คนอื่นๆ ที่จะทำอะไรตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนบอกให้ทำ ถ้ามีคนบอกผม –และยิ่งถ้าเตือนผม – “อย่าไปที่นั่น”, “อย่างทำอย่างนั้น” ผมก็จะ “ไปที่นั่น”, “ทำอย่างนั้น” นั่นคือตัวตนของผมหรือคุณจะพูดว่าในฐานะของนักประพันธ์ก็ได้ นักประพันธ์เป็นคนสายพันธุ์พิเศษ พวกเขาไม่สามารถเชื่ออะไรจริงๆ ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองหรือได้สัมผัสด้วยมือทั้งสองข้าง

และนั่นคือเหตุผลที่ผมอยู่ที่นี่ ผมเลือกมาที่นี่แทนที่จะอยู่ที่อื่น ผมเลือกที่จะมาดูเพื่อตัวผมเองแทนที่จะไม่ดู ผมเลือกที่จะพูดกับท่านทั้งหลายแทนที่จะไม่พูดอะไรเลย

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าผมอยู่ตรงนี้เพื่อนำเสนอสารทางการเมืองนะครับ การตัดสินความถูกผิดเป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญที่สุดของนักประพันธ์อยู่แล้ว

มันแล้วแต่วิธีการของนักเขียนแต่ละคนที่จะใช้รูปแบบใดในการส่งผ่านการตัดสินเหล่านั้นให้คนอื่นๆ ตัวผมเองพอใจที่จะปรับแปลงมันเป็นเรื่องราว –เรื่องที่ค่อนไปทางเรื่องกึ่งฝันแปลกพิสดาร และนี่ก็เป็นเหตุที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะเสนอสารทางการเมืองแบบตรงไปตรงมา

อย่างไรก็ดี ได้โปรดอนุญาตให้ผมได้ส่งสารที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ ข้อความหนึ่ง เป็นเรื่องที่ผมเก็บไว้ในใจตลอดเวลาที่กำลังเขียนนวนิยาย ผมไม่เคยไปไกลขนาดเขียนลงกระดาษและติดที่กำแพง แต่กลับสลักไว้ที่กำแพงในใจผม ข้อความอะไรทำนองนี้นะครับ

“ระหว่างกำแพงสูงแกร่งกับไข่ที่แตกเมื่อตกกระทบ ผมจะขอยืนหยัดอยู่ข้างเดียวกับไข่ใบนั้นเสมอมาและเสมอไป”

ถูกต้องแล้วครับ ไม่ว่ากำแพงจะถูกและไข่จะผิดอย่างไร ผมจะอยู่ข้างเดียวกับไข่ บางคนอาจจะต้องตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด บางครั้งเวลาหรือประวัติศาสตร์จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ถ้ามีนักประพันธ์ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามเขียนงานที่อยู่ข้างเดียวกันกับกำแพง งานเหล่านั้นจะมีคุณค่ารึ

ถ้อยความเปรียบเทียบนี้หมายถึงอะไร บางกรณีมันก็ง่ายและชัดเจนจนเกินไปด้วยซ้ำ คนวางระเบิด รถถัง จรวด ระเบิดฟอสฟอรัสขาว*คือ กำแพงสูง แกร่ง ไข่ คือ พลเรือนไร้อาวุธที่พวกนั้นบดขยี้ เผาและยิงทิ้ง นี่เป็นความหมายหนึ่งของคำเปรียบเทียบนี้

แต่ไม่ได้มีเพียงเท่านั้นนะครับ มันมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่ว่าไว้ ลองคิดในแง่นี้ดู พวกเราแต่ละคนก็คือไข่ดีๆ นี่เอง เรามีลักษณะเฉพาะตัว มีจิตวิญญาณที่ไม่สามารถแทนที่ได้ใต้เปลือกอันบอบบาง มันเป็นเรื่องจริงสำหรับผมและท่านทั้งหลาย และเราก็กำลังเผชิญหน้ากับกำแพงสูงแกร่งไม่มากก็น้อย กำแพงนี้มีชื่อว่า “ระบบ” “ระบบ” ควรจะปกป้องพวกเรา แต่บางครั้งมันก็มีชีวิตของมันเองและเริ่มสังหารพวกเราและทำให้เราสังหารคนอื่นๆ อย่างเยือกเย็น อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเป็นระบบ

ผมมีเหตุผลข้อเดียวที่เขียนนวนิยาย และนั่นคือการยกศักดิ์ศรีของแต่ละจิตวิญญาณขึ้นมาและส่องแสงไปยังจิตเหล่านั้น จุดมุ่งหมายของนวนิยายเรื่องหนึ่งก็เพื่อปลุก เพื่อฉายแสงไปที่ “ระบบ” เพื่อป้องกันเครือข่ายของมันมาบิดเบือนจิตวิญญาณของพวกเราและทำให้จิตเหล่านั้นต่ำลง ผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า หน้าที่ของนักประพันธ์คือต้องพยายามอธิบายความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละดวงจิตโดยการแต่งเรื่อง –เรื่องความเป็นความตาย เรื่องรักใคร่ เรื่องที่ทำให้คนร้องไห้ สั่นสะท้านด้วยความกลัวและสั่นโยกด้วยเสียงหัวเราะ นี่คือเหตุที่พวกเราปรุงแต่งนิยายวันแล้ววันเล่าด้วยความจริงจังเต็มเปี่ยม

พ่อของผมเสียชีวิตตอนอายุ 90 เมื่อปีที่แล้ว พ่อเคยเป็นครูและเป็นนักเทศน์ของศาสนาพุทธแบบไม่เต็มเวลา เขาโดนเกณฑ์ทหารและถูกส่งไปรบที่เมืองจีนช่วงที่เรียนปริญญาโท การที่ผมเป็นลูกที่เกิดหลังสงครามทำให้ผมเห็นภาพพ่อสวดมนต์ยืดยาวหลังอาหารทุกเช้าด้วยศรัทธาอย่างลึกซึ้งที่โต๊ะหมู่บูชาในบ้าน ผมเคยถามพ่อครั้งนึงว่าทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น พ่อตอบผมว่าพ่อสวดให้คนที่ตายในสงคราม

พ่อบอกว่าสวดให้ทุกๆ ชีวิตที่เสียไป ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกันหรือฝ่ายศัตรู เวลาที่จ้องหลังพ่อขณะสวดมนต์หน้าพระพุทธรูป ผมรู้สึกถึงเงามรณะที่ลอยละล่องรอบๆ ตัวพ่อของผม

พ่อของผมตายและเขาก็นำพาความทรงจำเหล่านั้นไปด้วย ความทรงจำที่ผมไม่เคยล่วงรู้ แต่บรรยากาศของความตายที่หลอนหลอกเกี่ยวกับพ่อยังคงตราตรึงในความทรงจำของผม นั่นเป็นสิ่งเดียวในไม่กี่สิ่งที่ผมได้รับจากพ่อและมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ผมมีเพียงสิ่งเดียวที่อยากจะส่งผ่านให้ท่านทั้งหลายในวันนี้ พวกเราเป็นมนุษย์ เป็นปัจเจกบุคคลข้ามผ่านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์และศาสนา เป็นไข่อันบอบบางที่กำลังเผชิญกับกำแพงแกร่งที่ชื่อว่า “ระบบ” อย่างที่ปรากฎอยู่นี้เราไม่มีความหวังใดๆ เลยสำหรับชัยชนะ กำแพงทั้งสูง แข็งแกร่ง – และเยือกเย็นจนเกินไป ถ้าเราจะมีความหวังใดๆ สำหรับชัยชนะ มันคงต้องมาจากความเชื่อของพวกเราในจิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์และไม่สามารถทดแทนได้อย่างที่สุดของเราและจิตวิญญาณดวงอื่นๆ รวมไปถึงจากอุ่นไอที่เราได้รับจากการเชื่อมประสานจิตวิญญาณหลายๆ ดวงเข้าด้วยกัน

ลองใช้เวลาสักนิดพิจารณาเรื่องนี้เถอะครับ พวกเราแต่ละคนมีจิตที่มีชีวิตและสัมผัสได้ “ระบบ” ไม่ได้เป็นแบบนั้น เราต้องไม่ยอมให้ “ระบบ” หลอกใช้เรา เราต้องไม่ยอมให้ “ระบบ” มีชีวิตของมันเอง “ระบบ” ไม่ได้สร้างเราขึ้นมา เราต่างหากที่เป็นผู้สร้างมัน

นี่คือทั้งหมดที่ผมต้องการพูดกับทุกท่าน

ผมยินดีที่ได้รับรางวัลเยรูซาเล็ม ผมยินดีที่หนังสือของผมได้รับการอ่านโดยคนจากแหล่งต่างๆ มากมายทั่วโลก และผมดีใจที่มีโอกาสได้พูดกับทุกท่านที่นี่ วันนี้

+++
*white phosphorus shells กองทัพอิสราเอลเรียกว่า ควันระเบิด exploding smoke เป็นอาวุธใหม่ล่าสุดที่คิดค้นขึ้นโดยชาวอิสราเอล
+++
** แปลจากสุนทรพจน์ของฮารูกิ มูราคามิ ตอนที่รับรางวัลเยรูซาเล็ม ดังปรากฏใน http://www.haaretz.com/hasen/spages/1064909.html (17/02/2009)

** รูปฮารูกิ มูราคามิและประธานาธิบดีอิสราเอล จาก http://www.guardian.co.uk/books/2009/feb/16/haruki-murakami-jerusalem-prize

1 comment:

ปุถุชน said...

สง่างาม ชวนคิด และทบทวน